ในแต่ละปีเรามีหน้าที่ต้องเสียภาษีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาษีส่วนบุคคล, ภาษีที่ดิน, ภาษีโรงเรือน, ภาษีป้ายและอื่นๆ มากมายส่วนผู้ที่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง ก็ต้องเสียภาษีรถยนต์ประจำปีกันด้วย ถ้าหากไม่เสียภาษีรถยนต์ประจำปี ก็มีสิทธิที่จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจับและปรับเอาได้ เพราะฉะนั้นเราควรที่จะทำให้ถูกต้องตามกฏหมาย
ถ้ารถคุณอายุไม่เกิน 7 ปี การต่อภาษีก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่คุณต้องมีหลักฐานการเอาประกันภัยตาม พ.ร.บ. รถยนต์ และ เล่มทะเบียนรถยนต์ของคุณ หรือ จะเป็นสำเนาการจดทะเบียนรถยนต์ก็ได้ แต่สำหรับรถที่ติดตั้งระบบแก๊สมา ก็จะต้องมี ใบวิศวะรับรองการติดตั้งระบบแก๊ส/ก๊าซ แนบมาด้วยครับ เอกสารเพียงเท่านี้สำหรับรถที่อายุไม่เกิน 7 ปี แต่เมื่ออายุรถของคุณเกิน 7 ปี โดยนับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก ก็จะต้องมี ใบผ่านการตรวจสภาพรถยนต์ เพิ่มเข้ามาอีก 1 ใบ เอาแล้วไง !! พอมีใบตรวจสภาพรถยนต์ขึ้นมา ทีนี้คำถามเหล่านี้จึงเกิดขึ้น แล้วเราจะไปเอาใบตรวจสภาพรถที่ไหนล่ะ, ยุ่งยากหรือเปล่า, แล้วเราเตรียมอะไรบ้าง, ใช้เวลานานไหม, วันนี้เราได้นำเสนอให้เพื่อนๆ ได้ดูกันครับ
Mongkol Auto Services ศูนย์ตรวจสภาพรถ สะดวก รวดเร็ว มีบริการครบวงจร
การตรวจสภาพรถยนต์ที่อายุเกิน 7 ปีขึ้นไป นั้นไม่ยาก!! เพียงแค่คุณขับรถไปที่สถานตรวจสภาพรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น สถานตรวจสภาพรถยนต์ในขนส่งต่างๆ ทั่วประเทศ โดยอัตราค่าบริการในการตรวจรถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม คันละประมาณ 150 บาท แต่ถ้ารถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 1,600 กิโลกรัม คันละ 250 บาท ส่วนอีกหนึ่งที่ก็คือ ตรอ. สถานตรวจสภาพรถเอกชน นั่นเอง ก่อนเสียภาษีประจำปีผู้ใช้รถสามารถนำรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์เข้าตรวจสภาพรถที่ตรอ. ได้ กรณีที่ไม่สะดวกเดินทางไปกรมขนส่งทางบกนั่นเองครับ
อ้าว…แล้วในเมื่อ 2 สถานที่ตรวจแบบนี้ แล้วมาตรฐานจะเหมือนกันเหรอ ตอบเลยว่า เหมือนกันเพราะว่า ตรอ. นี้จะ ต้องได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก เสียก่อน ถึงจะสามารถเปิดทำการ ตรวจสภาพรถได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเลยว่าถ้าเราตรวจ ตรอ. แล้วเราจะสามารถต่อภาษีได้ไหม บอกเลยว่าต่อได้สบายมาก ส่วนขั้นตอนในการตรวจสภาพรถนั้นมีอะไรบ้าง เรามาดูกันครับ
อันดับแรกที่เจ้าหน้าที่จะตรวจก็คือ เลขของเครื่องยนต์ ซึ่งเลขเครื่องต้องตรงกับที่แจ้งจดทะเบียนไว้ ถ้าใครเปลี่ยนเครื่องมาก็ต้องจัดการแจ้งดัดแปลงสภาพเปลี่ยนเครื่องยนต์ก่อนและลงในเล่มทะเบียนหน้ารถด้วย เพื่อจะให้เจ้าหน้าที่เช็คความถูกต้องได้
ต่อมาจะเป็นการเช็ค เลขแชสซีหรือเลขตัวถังรถ โดยรถที่มี chassis ก็จะดูที่ตัวเลขแชสซีของรถคันนั้น แต่รถบางรุ่นไม่ได้ใช้แชสซีแล้วก็ให้ดูที่ เลขตัวถังรถแทนครับ โดยที่เลขตรงนี้ ของรถแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ จะอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันออกไปครับ ซึ่งตรงจุดนี้เจ้าหน้าที่จะดูว่า เลขแชสซี หรือเลขตัวถัง ในรถรุ่นนั้นๆ ตรงกับที่จดทะเบียนหรือเปล่า นอกจากจะตรวจวัดเลขแชสซีแล้ว ต้องตรวจดูโครง chassis ว่าบิดเบี้ยวผิดรูปไหม | ส่วนตัวถังก็ต้องแข็งแรง ไม่ผุกร่อน หรือฉีกขาด
ต่อมาก็จะตรวจวัด โครมไฟหน้า เริ่มจากจุดรวมแสงของไฟต่ำต้องมีมุมตกไม่น้อยกว่า 2 องศา หรือไม่น้อยกว่า 20 ซม. ที่ระยะห่าง 7.5 ม. จากโคมไฟหน้า ส่วนจุดรวมแสงไฟสูงต้องไม่เกินแนวขนานกับพื้นระดับและไม่เบนไปทางขวา เพราะถ้าเบนไปทางขวาก็จะแยงตารถคันที่สวนทางกับเรา
ต่อมาคือ การตรวจ วัดระดับเสียงของท่อไอเสีย กันต่อ การตรวจวัดระดับเสียงของท่อไอเสียนั้น ต้องสตาร์ทรถให้เครื่องยนต์อยู่ในอุณหภูมิที่ใช้งานปรกติ จากนั้นวางไมโครโฟนระดับเดียวกับปลายท่อ ห่างจากปลายท่อประมาณ 50 ซม. โดยเครื่องวัดต้องขนานกับพื้น และทำมุมประมาณ 45 องศา กับปลายท่อไอเสีย สำหรับเครื่องดีเซล ต้องเร่งเครื่องยนต์จนสุดคันเร่ง ส่วนเครื่องเบนซินให้เร่งเครื่องรอบประมาณ 3 ใน 4 ของรอบที่ใช้กำลังม้าสูงสุด โดยค่าเสียงที่วัดได้ต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล เอ สำหรับรถยนต์ โดยการตรวจวัดต้องตรวจวัด 2 ครั้ง
จากนั้นมา วัดกันที่ค่าควันดำของเครื่องยนต์ดีเซล โดยที่ ตรอ. ที่เราเข้าไปวัดนี้ใช้การวัดควันดำแบบกระดาษกรอง สอดหัววัดเข้าไปในท่อไอเสีย แล้วเร่งเครื่องอย่างเร็วจนสุดคันเร่ง ในตำแหน่งเกียร์ว่าง แล้วเก็บตัวอย่างควันดำ โดยการวัดค่าควันดำนี้ ต้องทำ 2 ครั้ง เช่นกัน โดยใช้ค่าที่วัดได้สูงสุด ซึ่งค่าของควันดำต้องไม่เกินร้อยละ 50 ตามกฏของกรมขนส่ง
สำหรับรถยนต์เครื่องเบนซิน ต้องตรวจวัดค่ามลพิษ (CO, HC) การวัดก็เหมือนกับการวัดควันดำของเครื่องดีเซล แต่สำหรับเครื่องเบนซินจะทำการวัดที่รอบเครื่องยนต์เดินเบา โดยการสอดหัววัดเข้าไปในท่อไอเสีย โดยค่า CO, HC จะแสดงผลคงที่ ที่เครื่องวัด ให้ทำการวัด 2 ครั้ง แล้วหาค่าเฉลี่ย โดยรถยนต์ต้องมีค่าก๊าซ CO ไม่เกินร้อยละ 1.5 ส่วนค่าก๊าซ HC ต้องไม่เกิน 200 ส่วนในล้านส่วน แต่จะยกเว้นรถที่จดทะเบียนก่อนวันที่ 1 พ.ย. 2536 ค่าก๊าซ CO ไม่เกินร้อยละ 4.5 ส่วนค่าก๊าซ HC ต้องไม่เกิน 600 ส่วนในล้านส่วน
จากนั้นทางเจ้าหน้าที่จะลงไปดูสภาพของ ช่วงล่างว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานไหม มีรอยรั่ว รอยซึมหรือเปล่า จุดยึดโช้ค แน่นไหม และส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวกับช่วงล่างทั้งหมดทำงานดีไหม แล้วก็ทำการทดสอบระบบเบรค โดยขั้นตอนการทดสอบเบรคจะเริ่มจากที่ล้อหน้าลงไปในช่องที่ทดสอบ จากนั้นให้เหยียบเบรคเพื่อทดสอบแรงกดของเบรค ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของน้ำหนักรถ จากนั้นขยับมาที่ล้อหลังเพื่อทดสอบแรงกดของเบรคมือ ซึ่งแรงกดของเบรคมือนี้ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของน้ำหนักรถ ตรงจุดนี้เพื่อนๆ ไม่ต้องตกใจ เพราะที่ ตรอ. นั้น จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นตัววัดเลย มาตรฐานแน่นอน
หลังจากที่เราตรวจสภาพรถเรียบร้อย ทาง ตรอ. จะมีใบรับรองรายงานผลการตรวจสภาพรถตามกฏหมาย ว่าผ่านหรือไม่ผ่าน ถ้าผ่าน เราก็เอาใบนี้แนบไปกับหน้าเล่ม และ พ.ร.บ. รถยนต์ เพื่อไปทำการต่อภาษีรถยนต์ของท่านได้เลยครับ เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว
หากเพื่อนๆ สนใจใช้บริบารกับเราก็สามารถสอบถามกันเข้ามาได้ที่ Mongkol.co.th หรือ แอดไลน์ หรือโทร 027599400 เราใส่ใจรวบรวมการบริการทุกอย่างไว้เพื่อท่านแล้ว ทั้งงานตรวจตรอ. ตรวจแก๊ส, พรบ. ประกันภัยรถยนต์ และ ประกันภัยรถมอเตอร์ไซค์ จากหลายบริษัทชั้นนำมาไว้ในที่เดียว หรือต้องการตรวจดัดแปลงสภาพ และโอนรถก็ได้เช่นกันครับ ทักมาคุยกับเราก่อนได้นะ สวัสดีครับ